ฉีดวิตามิน หรือ กินวิตามิน ทาครีมบำรุง อันไหนผิวใส เห็นผลไวกว่ากันคะหมอ? ถือเป็นคำถามยอดนิยมของคนไข้ตอนนี้เลยครับ ด้วยเทรนด์งานผิวที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน รวมถึงมีวิตามินผิวหลายตัวที่ค่อนข้างเป็นกระแสนิยมมากในตอนนี้

ก่อนอื่นผมต้องพูดเลยว่า การดูแลผิวไม่ว่าจะเป็นวิธีอะไรก็แล้วแต่ จะฉีด จะกิน จะทา ทั้งสิ้น “ล้วนมีผลไม่ถาวร” หมายความว่า ถ้าอยากเห็นผลอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพราะสภาพผิวเราเปลี่ยนแปลงทุกวัน ตามมลภาวะ และ ปัจจัยต่าง ๆ แต่จะทำอย่างไรให้ทั้งมีผิวสวย และ ปลอดภัยไปพร้อมกัน ต้องอ่านบทความนี้เลยครับ
ผิวแบบไหนแปลว่าสวย?

ก่อนอื่นผมอยากปรับมุมมองของทุกคนที่มีต่อการมีผิวสวยก่อน เพราะตอนนี้กระแสหลาย ๆ อย่าง รวมถึงการแต่งรูปลงบนโลกออนไลน์ ทำให้หลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องผิว ผิวปกติคือผิวที่มีรูขุมขนนะครับ เพราะนั้นคือผิวจริง ๆ ส่วนผิวที่ผ่านการแต่งรูปเยอะก็จะดูเนียนครับ
ดังนั้น ผิวทุกคนปกติดี ไม่ได้แย่ อาจจะมีสิวเสี้ยน สิวหัวขาว หัวดำ ก็ถือเป็นเรื่องปกติของใบหน้าเรา และผิวที่สวยไม่ได้หมายความว่าต้องขาวเสมอไป ลักษณะสีผิวทุกคนแตกต่างกันไปตามพันธุกรรม เชื้อชาติ ถิ่นกำเนิด สภาพอากาศ ไม่มีใครเกิดมาเหมือนกัน และ สวยสมบูรณ์แบบ 100% อยู่แล้วครับ
ดังนั้น ในมุมมองของผม “ผิวสุขภาพดี” จะหมายถึง ผิวที่สะอาด ชุ่มชื้น แข็งแรง ไม่มีโรค อยู่ในสภาวะปกติ ทั้งผิวหน้า และ ผิวกายเลยครับ ดังนั้นถ้าตอนนี้ประเมินผิวตัวเองแล้วว่า ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็อาจจะแปลว่าตอนนี้คุณกำลังมีผิวที่สุขภาพดีอยู่นั้นเอง

การฉีดผิว ช่วยให้ผิวใสได้ยังไง?
การฉีดผิวถือเป็นวิธีทางการแพทย์ที่ช่วยผลักวิตามินเข้าสู่ผิวอย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นเทคนิค Mesotherapy หรือ Microdroplet ที่แพทย์จะฉีดเป็นจุด ๆ ลงบนผิวหน้า อย่างเช่น
การฉีดเมโสหน้าใสที่พวกเรารู้จักกันนั้นเอง และ Micro-Puncture Grid Technique ที่แพทย์จะตีตารางบนผิวหน้าก่อน และ ฉีดผิวไปตามช่องนั้น ๆ ให้กระจายทั่วใบหน้า และ 5 Point Technique ที่จะเป็นการฉีดตามไลน์จุดกระตุ้นทางชีวภาพบนใบหน้าของแต่ละข้าง อย่างเช่น การฉีด GOURI นั้นเองครับ

การทำงานของการฉีดวิตามินผิวใส หรือพวก Skin Boosters ก็จะเป็นการนำสารจำพวก HA (Hyaluronic Acid) ที่มีอยู่ตามธรรมชาติของผิวหนังมนุษย์ ฉีดเข้าไปเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในผิว และ เพิ่มคุณภาพผิว (Skin Quality) ได้โดยตรงจากปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำร้ายผิวได้แก่ แสงแดง มลภาวะ
พฤติกรรมทำร้ายผิว เช่น การสครับขัดหน้า ดูดบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งก็เป็นปัจจัยของการเกิดริ้วรอย ผิวแห้ง ขาดน้ำนั้นเองครับ การฉีดผิวก็จะช่วยบูสต์ผิว กระตุ้นซ่อมแซมเซลล์ผิวได้โดยตรง อีกทั้งยังช่วยให้ผิวผลิตคอลลาเจน และ เพิ่มความยืดหยุ่นผิวได้ดียิ่งขึ้นอีกครับ
การฉีดผิวช่วยอะไรได้บ้าง

บำรุง และ บรรเทาผิว

บำรุงผิวโดยตรงลดความรุนแรงของสารอนุมูลอิสระ ลดการทำงานของเม็ดสีผิว และ ช่วยในกระบวนการปรับสภาพผิว ให้มีความแข็งแรง ไม่แดงอักเสบง่าย หรือ สร้าง Skin Barrier ที่รู้จักกันในนามของเกราะป้องกันผิวนั้นเอง เมื่อผิวถูกบำรุงให้แข็งแรงแล้วปัญหาผิวอื่น ๆ ก็จะเกิดขึ้นตาม ได้ยากนั้นเอง
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

ด้วยตัวยาใน Skin Boosters ที่ฉีดเข้าไป เป็น Collagen Stimulators ดังนั้น การฉีดผิวในตัวยาบางชนิด จะมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ผลลัพธ์ที่ได้ผิวก็จะมีความนุ่ม ชุ่มชื้น ยืดหยุ่นมากขึ้น จากคอลลาเจนที่เพิ่มขึ้นนั้นเองครับ
ลดริ้วรอย เม็ดสีผิว และ รอยแผล

ด้วยตัวยาที่ผสมอยู่ข้างใน Skin Boosters ในบางสูตร จะสามารถช่วยลดการสะสมของเม็ดสีผิวได้ ปรับสภาพผิวโดยรวมให้สีสม่ำเสมอ ช่วยให้รอยแผล รอยดำ รอยแดงบนใบหน้าดูดีขึ้น ริ้วรอยตื้น ๆ ดูจางลง เมื่อผิวโดยรวมใสขึ้น รอยต่าง ๆ น้อยลงก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เรานั้นเองครับ
สามข้อข้างต้นเป็นเพียงประโยชน์เบื้องต้นของการฉีดวิตามินผิวใสเท่านั้นครับ ถ้าให้เล่าทั้งหมดจริง ๆ จะช่วยทั้งผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งขึ้น ริ้วรอยจางลง ผิวชุ่มชื้น ความแห้งของผิวลดลง รูขุมขน และ ใบหน้าดูกระชับขึ้น ผิวหนังยืดหยุ่นดีขึ้น สีผิวโดยรวมก็จะดูสว่าง กระจ่างใสขึ้นตามครับ

กินวิตามินผิวใส เห็นผลจริงหรอ?

จริง ๆ ตอนนี้มีวิตามินขายอยู่ตามท้องตลาดเยอะมากครับ ซึ่งการวิตามินผิวก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า อาจมีผลบางอย่างต่อสุขภาพด้วย ด้วยปริมาณที่ต้องบริโภคอย่างเหมาะสม อาหารเสริม ก็คืออาหารเสริมครับ อย่างไรถ้าทานอาหารหลักครบ 5 หมู่ตามความจำเป็นแล้ว การทานวิตามินเสริมอาจจะไม่ใช่ A MUST ครับ เป็นเพียงแค่ทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการเสริมอาหารที่บริโภคไม่ถึงปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละวันเท่านั้น
แต่ถ้าอยากทานจริง ๆ ก็สามารถทานได้ครับ อย่างเช่นตัวที่มีงานวิจัยสนับสนุนมาก เช่น วิตามิน C วิตามิน E หรือ วิตามิน A ซึ่งก็ควรรับประทานตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะวิตามินบางตัวถ้าทานเกิดปริมาณที่กำหนดในระยะยาว อาจก่อให้เกิดภาวะกระดูกบาง ตับถูกทำลาย ผิวระคายเคือง ท้องเสียคลื่นไส้ ปวดข้อ ปวดตามตัวได้ หรือ คนที่กำลังตั้งครรภ์ ให้นมบุตร ควรพิจารณาการทานวิตามิน และ อาหารเสริมเป็นอย่างมากเลยนะครับ
ทาครีมบำรุง ผิวใสขึ้นจริงไหม?

ครีมทาผิวจัดเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เป็นที่นิยมมาก และ ได้รับการยอมรับในงานวิจัยว่ามีส่วนช่วยให้ผิวดีขึ้นได้จริง ซึ่งผลลัพธ์ก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่ละปัญหา รวมถึงผลิตภัณฑ์ว่ามีส่วนผสมที่เหมาะสมกับผู้ใช้หรือไม่ หลัก ๆ ก็จะช่วยในเรื่องบำรุงความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดรูขุมขนได้เล็กน้อยใบผลิตภัณฑ์บางชนิด แต่จะไม่สามารถใช้ในการรักษาปัญหาเช่น ริ้วรอยตื้นบางประเภท ร่องลึกบนหน้า ความหย่อนคล้อย ไม่กระชับของผิวหนัง หรือ หลุมสิว รูขุมขนกว้างหนัก ๆ ได้ครับ
แต่ยังไงการทาครีมที่เป็น Moisturizer เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังยังคงมีความสำคัญอยู่ดี โดยอยากให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบจากแพทย์ผิวหนัง และ ส่วนผสมมาจากธรรมชาติครับ สำหรับผมมองว่าเป็นการ Maintain ผิวให้ดูสุขภาพดี ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน สาว ๆ ก็จะแต่งหน้าง่ายขึ้นติดทนขึ้นนั้นเอง
View this post on Instagram
ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดต้องอาศัยความต่อเนื่องในการดูแล ไม่ใช่ทำวันนี้ พรุ่งนี้เห็นผลเลยนะครับ อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ – 1 เดือนในการเห็นความเปลี่ยนแปลง และ ไม่ควรเปลี่ยนครีมบ่อย โดยเฉพาะที่มี Active Ingredients แรง ๆ เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาผิวเพิ่มขึ้นได้ในอนาคตครับ
สรุป เทคนิคง่าย ๆ ของคนผิวใส
จริง ๆ แล้วถ้าใครอยากมีผิวสุขภาพดี สามสิ่งที่ผมมองว่าสำคัญที่สุดก็คือ ความสะอาด ความชุ่มชื้น และ การปกป้องผิวจากแสงแดดครับ เรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานของการมีผิวสุขภาพดีเลย ถ้าเราแต่งหน้าเยอะ เราก็ต้องเช็คว่าสะอาดจริง ๆ ไม่งั้นก็จะมีปัญหาเรื่องผิวอุดตันเป็นสิวได้
ถ้าล้างหน้าเสร็จ ไม่บำรุงให้ชุ่มชื้นผิวก็จะแห้ง และสุดท้าย ถ้าไม่ทาครีมกันแดด ทั้งหมดก็สูญเปล่าครับ เพราะแดดนี่แหละคือตัวการทำให้ผิวแก่ก่อนวัยเลย ส่วนใครรู้สึกว่า ตัวเองมีปัญหาอะไรตรงไหน อยากปรับแก้ไขเพิ่ม
แนะนำให้มาปรึกษาหมอเลยครับ ผมก็จะพิจารณาปัญหาผิวเป็นรายบุคคล ว่าใครเหมาะกับอะไร และ จะเลือกหัตถการที่ดีที่สุดให้แน่นอนครับ
ขอบพระคุณครับ
นพ. ลัทธพล ม้าลายทอง (หมอเฟิสท์)
จักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตาและแก้ไขสายตา
First Clinic ฟิลเลอร์รอบดวงตา โดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ